สู้เพื่อความฝันจะมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง
การที่เราแน่วแน่มีปณิธานกับตัวเองว่า เราจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ความเพ้อฝัน หรือเรื่องไกลตัวเลย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เราสามารถเริ่มขายของได้จากหลากหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไปเช่าสถานที่โดยจะต้องมัดจำจ่ายเงินจำนวนมาก แต่ถ้าหากเรามีต้นทุนที่เยอะ เราสามารถลงทุนไปเท่าที่เราต้องการได้ แต่ถ้าต้นทุนเราจำกัดมากๆ การขายของผ่านช่องทางออนไลน์คือทางเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนี้เราสามารถเลือกแพล็ตฟอร์มที่ตอบโจทย์สินค้าและผลิตภัณฑ์ของเราได้
เราจึงไม่แปลกใจเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้นั้น มีรายได้จากการขายของและทำธุรกิจกันจนประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่อย่างไรก็ตามภาพที่เราเห็นคนอื่นโพสต์ในโลก social media ว่ามีบ้านหลายล้าน มีรถหรูนั้น อาจจะเป็นกับดักให้เรายิ่งกดดันตัวเอง เพราะไม่มีใครจะโพสต์ภาพความลำบากและความน่าสงสารให้คนอื่นเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เราเห็น อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ มีหลายคนที่ถูกหลอกให้ร่วมลงทุนมากมายและสูญเสียทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นแล้วเราควรศึกษาว่าการจะมีแบรนด์ธุรกิจและสินค้าเป็นของตนเองนั้น ควรเริ่มอย่างไร เริ่มจากหาบริษัทที่รับสร้างแบรนด์สินค้า ปรึกษากับบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถให้คำปรึกษาเราได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการทำการตลาด รวมไปถึงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราเมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ เว็บไซต์ jobsDB ได้แชร์บทความที่น่าสนใจไว้ว่า สร้างเอกลักษณ์ แสดงตัวตน ค้นหา ดึงความสามารถพิเศษ และศักยภาพเฉพาะตัวออกมาให้โลกเห็น สร้าง brand ให้ตัวเอง บริหารจัดการให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมีความชัดเจนกับสิ่งที่เป็น ให้ความสำคัญกับความคิดนอกเหนือจากข้อมูล ขยายขอบเขตจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดแบบเดิม ๆ เปิดใจและความคิดให้กว้าง ศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องของสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา กล้าคิด กล้าทำ แทนที่จะมัวกังวลกับการสูญเสียเม็ดเงินไปกับการลงทุน จนสูญเสียโอกาสเติบโตทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย ไม่หยุดนิ่ง คนที่ไม่ชอบหยุดนิ่งกับสถานะเดิม ๆ จะสามารถเลือกแนวทางและเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง การไม่หยุดนิ่งไม่ได้หมายถึงการมุ่งหน้าไปโดยลำพังแบบไม่เอาใครเลย แต่ยังต้องสามารถก้าวเดินไปพร้อมกับทีมได้ ผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องรวมเอาอุปนิสัย 2 อย่างไว้ในคน ๆ เดียวกันคือ “รักที่จะเข้าสังคม” กับ “ความสามารถในการอยู่แบบสันโดษ” เพราะการสร้างสรรค์จำเป็นต้องมีความสามารถที่จะคิดเพียงลำพัง แต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี กำหนดทิศทางบนความเป็นตัวของตัวเอง หยุดตีกรอบให้กับตัวเองด้วยงานที่ถูกมอบหมายโดยคนอื่น เพราะนักคิดคือคนที่พยายามขายทางออกสำหรับธุรกิจให้กับลูกค้า มองเห็นโอกาสล่วงหน้าได้ก่อนใคร ในระบบของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทุกคนสามารถคิดบนพื้นฐานของแต่ละปัจเจกบุคคล พร้อมแลกเปลี่ยนทางออกที่สร้างสรรค์ไปสู่ผู้อื่นได้