โพสประกาศฟรีออนไลน์ รองรับ Seo และ youtube
โพสประกาศขายฟรี , โฆษณาสินค้าฟรีทุกหมวดหมู่ => โพส เว็บประกาศ, เว็บลงประกาศฟรี ติดgoogle => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 6 กรกฎาคม 2025, 15:52:31 น.
-
หมอออนไลน์: ฝีรอบทวารหนัก (Perianal Abscess) (https://doctorathome.com/)
ฝีรอบทวารหนัก (Perianal Abscess) คือภาวะที่มีการสะสมของหนองอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณรอบๆ ทวารหนัก หรือในเนื้อเยื่อข้างเคียง เป็นภาวะที่พบบ่อยและสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแก่ผู้ป่วยครับ
สาเหตุของฝีรอบทวารหนัก
สาเหตุหลักของฝีรอบทวารหนักเกือบทั้งหมด (ประมาณ 90%) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียใน ต่อมสร้างเมือกเล็กๆ ที่อยู่ภายในทวารหนัก (Anal Glands) ซึ่งปกติมีหน้าที่ผลิตเมือกมาหล่อลื่นช่องทวารหนัก
เมื่อท่อของต่อมเหล่านี้เกิดการอุดตัน (เช่น จากอุจจาระ, สิ่งแปลกปลอม) แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ก็จะเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นภายในต่อม ทำให้เกิดการอักเสบและกลายเป็นหนองสะสมอยู่รอบๆ ทวารหนัก
สาเหตุอื่นๆ ที่พบน้อยกว่า ได้แก่:
โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง: เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease)
โรคเบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมักมีภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
การติดเชื้อบางชนิด: เช่น วัณโรค
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ป่วย HIV/AIDS
การบาดเจ็บหรือแผลบริเวณทวารหนัก:
ตำแหน่งของฝี
ฝีรอบทวารหนักสามารถแบ่งตามตำแหน่งที่เกิดได้หลายชนิด แต่ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ:
Perianal Abscess: เกิดอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณรอบปากทวารหนัก มักมองเห็นหรือคลำได้ง่ายที่สุด
Ischiorectal Abscess: เกิดอยู่ลึกเข้าไปในช่องว่างระหว่างกล้ามเนื้อก้น มักมีขนาดใหญ่กว่าและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง
Intersphincteric Abscess: เกิดอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักชั้นในและชั้นนอก
Supralevator Abscess: เกิดอยู่เหนือกล้ามเนื้อหูรูด เป็นชนิดที่อยู่ลึกที่สุดและวินิจฉัยได้ยาก
อาการของฝีรอบทวารหนัก
อาการมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง:
ปวดมาก: เป็นอาการเด่นที่สุด มักปวดตื้อๆ บริเวณรอบทวารหนัก ซึ่งจะปวดมากขึ้นเมื่อนั่ง, เดิน, ไอ, หรือขับถ่ายอุจจาระ อาการปวดมักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
บวมและแดง: ผิวหนังบริเวณรอบทวารหนักจะบวมแดง และอาจคลำได้เป็นก้อนนูนร้อนๆ
เจ็บเมื่อสัมผัส: บริเวณที่เป็นฝีจะรู้สึกเจ็บมากเมื่อกดหรือสัมผัส
มีไข้และหนาวสั่น: หากมีการติดเชื้อรุนแรง หรือฝีมีขนาดใหญ่ อาจมีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย
ขับถ่ายลำบาก: เนื่องจากความเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยมักกลั้นอุจจาระ
อาจมีหนองไหล (ในบางกรณี): หากฝีแตกเอง หนองอาจไหลออกมาจากรูที่ผิวหนัง
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยฝีรอบทวารหนักได้จากการ:
ซักประวัติและอาการ: สอบถามอาการปวด ลักษณะการขับถ่าย
ตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจบริเวณรอบทวารหนักด้วยการคลำ หากฝีอยู่ตื้นก็จะคลำพบก้อนบวมร้อนและกดเจ็บได้ชัดเจน
ตรวจทวารหนักด้วยนิ้ว (Digital Rectal Exam): ในกรณีที่ฝีอยู่ลึก แพทย์อาจต้องสอดนิ้วเข้าไปตรวจทางทวารหนักเพื่อคลำหาฝี
ภาพวินิจฉัย (Imaging): ในบางกรณีที่ฝีอยู่ลึก หรือไม่แน่ใจตำแหน่ง อาจพิจารณาทำ MRI หรือ CT Scan เพื่อช่วยระบุตำแหน่งและขนาดของฝี
การรักษาฝีรอบทวารหนัก
การรักษาหลักของฝีรอบทวารหนักคือ การระบายหนองออก (Incision and Drainage - I&D) การใช้ยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอ เนื่องจากยาไม่สามารถซึมเข้าไปในหนองได้ดี และหากไม่ระบายหนองออก เชื้ออาจแพร่กระจายและทำให้อาการแย่ลง
การผ่าตัดระบายหนอง:
เป็นการรักษามาตรฐาน แพทย์จะทำการกรีดเปิดผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีเพื่อระบายหนองออกมาให้หมด
อาจทำโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ หรือดมยาสลบ ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของฝี
หลังระบายหนอง แพทย์อาจใส่ผ้าก๊อซชิ้นเล็กๆ เข้าไปในโพรงฝี เพื่อช่วยดูดซับของเหลวและให้แผลระบายหนองได้อย่างต่อเนื่อง
ผู้ป่วยมักจะรู้สึกสบายขึ้นมากทันทีหลังระบายหนอง
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics):
แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีไข้สูง, มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, เป็นเบาหวาน หรือมีการติดเชื้อแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
แต่ย้ำว่ายาปฏิชีวนะไม่สามารถใช้แทนการระบายหนองได้
การดูแลหลังการผ่าตัด:
แช่ก้นในน้ำอุ่น (Sitz Bath): ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดบวม และทำความสะอาดแผล
ทำความสะอาดแผล: รักษาความสะอาดบริเวณแผลตามคำแนะนำของแพทย์
ยาแก้ปวด: ใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการไม่สบาย
ติดตามผล: แพทย์จะนัดติดตามผลเพื่อดูการหายของแผล
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญที่สุดของฝีรอบทวารหนักคือการเกิด ริดสีดวงทวารหนักชนิดฝีคัณฑสูตร (Anal Fistula) ซึ่งเกิดจากการที่หนองกัดเซาะผนังลำไส้และผิวหนังรอบทวารหนัก จนเกิดเป็นทางเชื่อมผิดปกติระหว่างช่องทวารหนักกับผิวหนังภายนอก หนองจะไหลออกมาจากรูทวารภายนอกเรื้อรัง และมักต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข
คำแนะนำ:
หากคุณหรือคนรู้จักมีอาการปวด บวม แดง ร้อน บริเวณรอบทวารหนัก โดยเฉพาะมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องอย่างเร่งด่วน การปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ฝีขยายใหญ่ขึ้น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ครับ