โพสประกาศฟรีออนไลน์ รองรับ Seo และ youtube
โพสประกาศขายฟรี , โฆษณาสินค้าฟรีทุกหมวดหมู่ => โพส เว็บประกาศ, เว็บลงประกาศฟรี ติดgoogle => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 3 ตุลาคม 2025, 19:07:52 น.
-
โรคเบาหวาน…อันตรายอย่างไร ถ้าไม่รักษา (https://doctorathome.com/disease-conditions/278)
โรคเบาหวานจัดเป็น "ภัยเงียบ" ที่อันตรายอย่างยิ่งหากไม่ได้รับการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเหมาะสม เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังจะทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาททั่วร่างกาย นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่ออวัยวะสำคัญ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
อันตรายของโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกเป็น ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน และ ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
1. ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน (อันตรายถึงชีวิตได้ในเวลาอันสั้น)
ภาวะเหล่านี้มักเกิดเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำผิดปกติอย่างมาก:
ภาวะเลือดเป็นกรดจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis: DKA): มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 แต่สามารถพบในชนิดที่ 2 ได้ เป็นภาวะที่ร่างกายขาดอินซูลินอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานแทน และเกิดสารคีโตน (Ketone) ในเลือดมากเกินไป จนทำให้เลือดเป็นกรด ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก มีกลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้ และอาจ หมดสติเสียชีวิต ได้
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงโดยไม่มีคีโตน (Hyperosmolar Hyperglycemic State: HHS): มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงมาก (อาจเกิน 600 มก./ดล.) ร่วมกับภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยสับสน ซึมลง หรือ หมดสติ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลัน (Hypoglycemia): แม้จะเป็นผลจากการรักษา แต่หากเกิดขึ้นรุนแรงหรือไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที อาจทำให้ผู้ป่วย ชัก หมดสติ หรือเสียชีวิต ได้
2. ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง (ทำลายอวัยวะสำคัญในระยะยาว)
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดและเส้นประสาทที่ถูกทำลายจากน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก (Microvascular Complications)
เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy): น้ำตาลสูงทำลายหลอดเลือดเล็ก ๆ ในจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเสื่อม อาจเกิดเลือดออก หรือจอประสาทตาลอก ซึ่งนำไปสู่ ภาวะตาพร่ามัว และ ตาบอด ในที่สุด
เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy): เป็นสาเหตุหลักของโรคไตวายเรื้อรัง โดยน้ำตาลสูงจะทำลายหลอดเลือดในไต ทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นฟอง และหากเข้าสู่ระยะสุดท้ายอาจต้องรักษาด้วยการ ฟอกไต หรือปลูกถ่ายไต
โรคปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy): น้ำตาลสูงทำลายเส้นประสาท ทำให้มีอาการชา ปวดแสบปวดร้อนบริเวณปลายมือปลายเท้า สูญเสียการรับรู้ความรู้สึก (เช่น ไม่รู้สึกถึงบาดแผล) และอาจมีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ท้องผูก เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่ (Macrovascular Complications)
โรคหัวใจและหลอดเลือด: เบาหวานเร่งให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตันง่ายขึ้นมาก (Atherosclerosis) ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย และความดันโลหิตสูง
โรคหลอดเลือดสมอง: เพิ่มความเสี่ยงของ อัมพฤกษ์ หรือ อัมพาต จากหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก
โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Artery Disease: PAD): มักเกิดที่ขา ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาและเท้าไม่เพียงพอ เมื่อรวมกับภาวะปลายประสาทเสื่อม ทำให้เกิด แผลที่เท้า (Diabetic Foot) ได้ง่าย แผลหายยาก ติดเชื้อลุกลามได้รวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้อง ตัดนิ้วเท้าหรือตัดขา
อื่น ๆ
ภูมิคุ้มกันต่ำ: ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายและหายยากขึ้น เช่น การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อที่ผิวหนัง
ปัญหาสุขภาพช่องปาก: เหงือกอักเสบ และฟันผุง่ายขึ้น
สรุปคือ การไม่รักษาเบาหวานเท่ากับปล่อยให้ "น้ำตาลส่วนเกิน" ทำลายระบบหลอดเลือดและประสาททั่วร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียอวัยวะ (ตาบอด, ไตวาย, ถูกตัดขา) และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้ป่วยเบาหวาน
ดังนั้น การควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ครับ