บางคนอาจคิดว่าสีมงคล เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่จริง ๆ เราสามารถอธิบายเรื่องสีมงคลได้ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยาและทฤษฏีสี ซึ่งการใช้สีให้ถูกต้องได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถยกระดับการทำงานได้จริง
เลือกสีเสื้อ ใช้สีห้องอย่างไรให้ถูกใจคนทำงาน สายมูต้องอ่าน !
พอพูดถึงคำว่า “สีมงคล” หลายคนอาจไปนึกถึงเรื่องโชคชะตาหรือ “สายมู” และคิดไปว่าเราไม่สนใจจนมองข้ามเรื่องการใช้สีอย่างเหมาะสมไปเสียอย่างนั้น แต่รู้ไหมว่าปัจจุบันประเด็นเรื่องการใช้สีคือสิ่งที่ HR ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเพราะมีผู้เชี่ยวชาญมากมายออกมายืนยันแล้วว่า การใช้สีอย่างถูกต้องจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้จริง
ยกตัวอย่างหากเราไปสปาเพราะอยากผ่อนคลาย เราย่อมคาดหวังถึงสีขาวสว่างและการตกแต่งที่ดูสะอาด ปลอดโปร่ง พร้อมกลิ่นหอม ๆ ที่ช่วยสร้างความสุนทรีย์อย่างเต็มที่ แต่ลองคิดดูว่าหากสปาเจ้าประจำของเราเปลี่ยนสีห้องเป็นดำสนิทและสาดด้วยสีแดงสดเพิ่มความเร้าใจไปอีกขั้น เราจะรู้สึกทันทีว่าแม้กลิ่นหอมและบริการยังมีประสิทธิภาพเท่าเดิม แต่ความรู้สึกของเราต่อสปาจะเปลี่ยนไปทันที นี่คืออิทธิพลของสีต่อความรู้สึกนึกคิดของเรา
การเลือกสีมงคลมีผลกับมนุษย์อย่างไร
แท้จริงแล้วการใช้สีมงคลคือเรื่องทางจิตวิทยาโดยตรง เพราะการเลือกใช้สีสามารถส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด, อารมณ์, ระดับความเครียด รวมถึงช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็นได้ทันที คุณลีตรีซ ไอซ์แมน (Leatrice Eiseman) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสีชื่อดังจาก Pantone Color Institute บอกว่าสีต่าง ๆ นั้นผูกพันกับสิ่งที่คนพบเห็นได้ใจธรรมชาติ โดยเบื้องต้นมนุษย์จะมีปฏิกริยาพื้นฐานเกี่ยวกับสีที่ใกล้เคียงกันมาก จะแตกต่างกันแค่เพราะสีนั้นเคยสร้างประสบการณ์ใดกับตนเอาไว้ หรือตรงกับลักษณะนิสัยของตนหรือไม่เท่านั้น เช่นคนที่ชอบเพลงร็อค อยากนำเสนอความโหด ก็อาจมีทัศนคติต่อต้านสีชมพู แต่ทั้งนี้ทัศนคติดังกล่าวก็เกิดจากความเข้าใจว่าสีชมพูเป็นตัวแทนของความอ่อนหวาน เป็นต้น
ผลวิจัยของ Eastern Illinois University เมื่อปี 1974 ระบุว่าการเลือกสวมชุดสีต่าง ๆ มีผลให้ความประพฤติของฝ่ายตรงข้ามต่อเราเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย และที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือสีมีอิทธิพลต่อการเต้นของหัวใจ, ความดันในเลือด, ระบบการหายใจ ดังนั้นการเลือกสีมงคลโดยพื้นฐานแล้วคือการเลือกสีให้เหมาะกับสิ่งที่ตนเองเป็นหรือ “อยากจะเป็น” ตามทฤษฎีด้านจิตวิทยานั่นเอง
ความหมายของสีมงคลในแง่มุมเชิงจิตวิทยา
จากประเด็นที่กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้า ทฤษฎีสีไม่ได้มีคำจำกัดความแน่นอน แต่เกิดจากการสังเกตคนหมู่มากเป็นเวลานานและได้ข้อสรุปออกมาว่าสีต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์อย่างไร เช่น เมื่อเราเห็นสีน้ำเงิน ในตอนเด็กเราอาจมองว่ามันเป็นสีของท้องฟ้าที่สดใส, น้ำทะเลที่สนุกสนาน แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น สีฟ้าอาจสะท้อนถึงความหมองหม่น, การเข้ามาของพายุหรือความเครียด, ความเปลี่ยนแปลงเมื่อพายุนั้น ๆ เลือนหายไป ดังนั้นสรุปได้ว่ามิติของความรู้สึกจะเข้มข้นลึกซึ้งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีคำตอบที่สามารถฟันธงเรื่องอิทธิพลของสีต่อความรู้สึกได้แบบ 100% แต่ก็เป็นข้อมูลพื้นที่ควรรู้เพื่อนำไปต่อยอดกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน
สีแต่ละชนิดมีความหมายในภาพรวมดังนี้
1. สีเขียว หมายถึง การเติบโตและการมีสุขภาพที่ดี : สีเขียวคือตัวแทนของธรรมชาติที่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญงอกงาม, ความสามัคคี, ความสดใหม่, สุขภาพดี และทรัพย์สิน ในเชิงจิตวิทยานั้นสีเขียวจะช่วยสร้างความสมดุลให้กับชีวิต ซึ่งถ้าเปรียบกับการทำงาน สีเขียวจะให้ความรู้สึกว่าคน ๆ นั้นสามารถช่วยทำให้ทีมกลมเกลียวกันได้ เป็นคนคอยแก้ปัญหา ช่างสังเกต เป็นผู้ฟังและที่ปรีกษาที่ยอดเยี่ยม สีเขียวยังสะท้อนถึงสัญญาณไฟเขียวที่บอกว่า “ไปได้” ! ช่วยให้คนที่เห็นรู้สึกเชื่อมั่นว่าหากคน ๆ นี้เป็นผู้ตัดสินใจ หัวข้อที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ดังนั้นสรุปได้ว่าสีเขียวจะสร้างความรู้สึกของการเป็นผู้ตัดสินใจที่ดี มองเห็นรอบด้านทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ก่อนที่จะเลือกแนวทางที่ดีที่สุดโดยมีผลประโยชน์ของทีมเป็นที่ตั้ง
2. สีแดง หมายถึง ความแข็งแกร่ง, พลังงาน และความดุดัน : นอกจากนี้ยังเป็นสีที่ทำให้ผู้สวมใส่โดดเด่นขึ้นมามากกว่าคนอื่นด้วย เช่น ตัวละครในการ์ตูนที่ตัวละครหลักมักสวมชุดสีแดงนั่นเอง นอกจากนี้สีแดงยังทำให้รู้สึกกะปรี้กะเปร่า กล้าคิดกล้าทำ บางออฟฟิศจึงเลือกทาสีแดงไว้ในห้องพักผ่อนเพื่อกระตุ้นให้พนักงานกล้านำเสนอไอเดียใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามปัญหาของการใช้สีแดงก็คือทำให้เกิดการเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด สีแดงยังส่งผลต่อความดันในเลือดและทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถูกต่อต้าน ในลักษณะเดียวกับการใช้สีแดงในป้ายจราจร ดังนั้นสีแดงต้องใช้อย่างระมัดระวัง หรือนำไปจับคู่กับสีอื่น ๆ ในองค์ประกอบที่เหมาะสมเพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
3. สีดำ หมายถึงความลึกลับและจริงจัง : สีดำคือสียอดนิยมของพนักงานออฟฟิศทุกเพศทุกวัย สีนี้ให้ความรู้สึกเคร่งขรึม จริงจัง และสง่าผ่าเผย เป็นสีที่ใช้ได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามปัญหาของสีดำคือการนำไปใช้อย่างถูกวิธี เช่น ไม่นำไปไว้ในห้องทำสมาธิ (Meditation Room) ที่อาจจะดูสวยงามแต่สามารถทำให้เกิดความเครียดจนคิดงานไม่ออก ดังนั้นหากคุณอยากใช้สีดำจริง ๆ ก็ควรใช้คู่กับสีอื่น ๆ เช่น สีเขียว หรือน้ำเงิน เป็นต้น
4. สีส้ม หมายถึงความคิดสร้างสรรค์ : สีส้มคือตัวแทนของความีคิดสร้างสรรค์ที่ถือเป็นส่วนสำคัญของการทำงานออฟฟิศ เพราะความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้หมายถึงการนำเสนอไอเดียเพื่อสร้างงานอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่ต่างจากเดิมอีกด้วย ดังนั้นการใช้สีส้มจะช่วยโน้มน้าวให้คนอื่นกล้าเข้าหาเรา นอกจากนี้สีส้มยังมีอิทธิพลในการดึงดูดสายตาผู้อื่นเช่นกัน แต่น้อยกว่าการใช้สีแดง ดังนั้นหากคุณต้องการความโดดเด่นแต่กลัวจะข้ามหน้าข้ามตาหัวหน้า การใช้สีส้ม หรือนำสีส้มไปผสมกับสีอื่น ๆ ก็จะสะท้อนตัวตนที่ต้องการได้ตรงจุดมากขึ้น
5. สีเหลือง หมายถึงความสดใส กระชุ่มกระชวย : เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นใจและมองโลกในแง่ดี เหมาะกับงานสายครีเอทีฟที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สามารถใช้แต่งกายหรือทาสีห้องประชุมที่ทีมงานมักใช้ระดมสมอง (Brainstorming) ก็ได้ อย่างไรก็ตามสีเหลืองสามารถสะท้อนถึงความไม่มีเสถียรภาพก็ได้เช่นกัน เพราะแม้ความกระตือรือร้นและความสดใสจะเป็นเรื่องดี แต่หากไม่ถูกควบคุมอย่างเหมาะสมก็อาจทำให้สนุกสนานเกินจนดูไม่น่าเชื่อถือก็ได้
6. สีชมพู หมายถึงความมีเสน่ห์และความอบอุ่น : ทุกคนในโลกนี้เข้าใจตรงกันว่าสีชมพูเป็นสีสุดหวานที่สาว ๆ ชื่นชอบ ซึ่งในเชิงจิตวิทยาแล้วสีชมพูให้ความหมายไม่ต่างกันมากนัก เพราะมันหมายถึงความเป็นมิตร, ความใจดี, ความห่วงใยต่อผู้คนรอบ ๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญทีทุกทีมจะขาดไปไม่ได้ สีชมพูยังทำให้เกิดพลังงานบวก, ความคิดสร้างสรรค์, การมองโลกในแง่ดี และให้ความรู้สึกว่าเขาสามารถเปลี่ยนเรื่องร้าย ๆ ให้กลายเป็นดีได้เสมอไม่ว่าปัญหานั้นจะหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้สีชมพูยังเป็นตัวแทนของ “ความเป็นเด็ก” และ “ความอ่อนโยนจากภายใน” การใช้สีชมพูในที่ทำงานจึงช่วยให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่นและโล่งใจขึ้นในทีมได้มาก
7. สีขาว หมายถึงความสะอาดและความสมบูรณ์แบบ : หมายถึงความสะอาดและความสมบูรณ์แบบ : สีขาวเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดตัวเลือกหนึ่งและถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง ผ้าพันคอ หรือแม้แต่สีผนังห้องที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามการใช้สีขาวมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อการทำงาน เพราะในเชิงจิตวิทยาสีขาวหมายถึงความขี้ขลาดและความแห้งแล้งได้เช่นกัน ดังนั้นสีขาวจึงเป็นสีที่นำมาใช้ได้ในที่ทำงานเพื่อความปลอดโปร่ง โล่งสบาย แต่ควรเพิ่มลูกเล่นทางสีอีกนิดเพื่อช่วยให้บริบทของพื้นที่น่าสนใจขึ้น
8. สีน้ำเงิน หรือ สีฟ้า หมายถึงความมีมิติและความมั่นคง : เมื่อคุณทำงานคุณอาจต้องการความรู้สึกมั่นคง น่าเชื่อถือ และต้องการความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมาเพราะคงเป็นเรื่องดีหากมีคนที่เป็นเพื่อนคู่คิดคอยช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงจังได้ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถูกถ่ายทอดเชิงจิตวิทยาผ่านการใช้สีน้ำเงินอันเป็นตัวแทนของท้องฟ้า, ทะเล หมายถึงความเชื่อใจ, ความมั่นใจ, ความฉลาด, ความจงรักภักดี และสติปัญญา โดยสีน้ำเงินถือเป็นสีที่ควรใส่ที่สุดหากคุณต้องเป็นตัวกลางเพื่อแก้ปัญหา
9. สีม่วง หมายถึงเล่ห์กลและความหรูหรา : สีม่วงแสดงถึงความสูงส่ง, ความมั่งคั่งร่ำรวย และยังเป็นสีของเวทย์มนต๋ อย่างไรก็ตามเราไม่ควรใช้สีม่วงเพียงสีเดียว เพราะมันเป็นสีที่หาได้ยากในธรรมชาติ จึงทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา วิธีใช้ที่ถูกต้องคือใช้เป็นตัวเสริมมากกว่า เช่นเป็นผ้าพันคอ, สีถ้วยชาม, ลวดลายบนผนัง เป็นต้น
ชุดออฟฟิต เลือกสีเสื้อ ใช้สีห้องอย่างไรให้ถูกใจคนทำงาน สายมูต้องอ่าน ! อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://uniformdeluxe.com/