ผู้เขียน หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: โรคลมชัก (Epilepsy)  (อ่าน 28 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1127
  • แจกเวบลงประกาศฟรี, ลงประกาศฟรีออนไลน์ ,โพสฟรี, โพสต์ขายของฟรี
    • ดูรายละเอียด
หมอประจำบ้าน: โรคลมชัก (Epilepsy)
« เมื่อ: วันที่ 9 มีนาคม 2025, 14:22:20 น. »
หมอประจำบ้าน: โรคลมชัก (Epilepsy)

โรคลมชัก (Epilepsy) คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ที่ป่วยเกิดอาการชัก เหม่อลอย หรือมีพฤติกรรมบางอย่างที่ผิดปกติไป

โรคลมชักสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ก็มักจะพบในผู้ป่วยเด็ก และผู้สูงอายุ โดยโรคลมชักนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถช่วยให้อาการสงบและไม่มีอาการชักอาการชัก-และสัญญาณรุนแรกำเริบได้หากผู้ป่วยรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำ


อาการโรคลมชัก

อาการของโรคลมชักที่เห็นได้ชัดคืออาการการชัก ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนอาจเกิดอาการชักได้หลายรูปแบบ โดยอาการชักที่มักพบได้บ่อย จะแบ่งออกได้ดังนี้
อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures)

เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองทั้งสองซีก ซึ่งแบ่งได้เป็นชนิดย่อย ๆ ดังนี้

    อาการชักแบบเหม่อลอย (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่โดดเด่นคือการเหม่อลอย หรือมีการขยับร่างกายเพียงเล็กน้อย เช่น การกะพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้น ๆ ได้
    อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยมักจะเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขนและขา จนอาจส่งผลให้ผู้ป่วยล้มลงได้
    อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Atonic Seizures) อาการชักที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ผู้ป่วยที่มีอาการชักชนิดนี้มักจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างเฉียบพลัน
    อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ โดยอาจทำให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และแขน
    อาการชักแบบชักกระตุกและเกร็ง (Tonic–clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วน ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็งและกระตุก จนผู้ป่วยอาจหมดสติและล้มลง จากนั้น หลังจากอาการบรรเทาลง ผู้ป่วยจะกลับมารู้สึกตัวแต่มักจะจำไม่ได้ว่าเกิดอาการชักขึ้น
    อาการชักแบบชักสะดุ้ง (Myoclonic Seizures) อาการชักชนิดนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะเกิดอาการชักกระตุกของแขนและขาคล้ายกับการโดนไฟฟ้าช็อต ส่วนใหญ่มักจะเกิดหลังจากตื่นนอน บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน


อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures)

อาการชักประเภทนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงบางส่วน โดยส่งผลให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) กรณีนี้ ขณะที่เกิดอาการ ผู้ป่วยมักยังคงมีสติอยู่ โดยผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกวูบ ๆ ภายในท้อง มีอาการเดจาวู เกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน การได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติแปลกไป ชาที่แขนและขา หรือมีอาการชักกระตุกที่แขนและมือ ทั้งนี้ อาการชักดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักชนิดอื่น ๆ ที่กำลังตามมา
    อาการชักแบบไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวและไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะที่เกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักชนิดนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ โดยอาจมีอาการเช่น ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลก ๆ หมุนแขนไปรอบ ๆ จับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในท่าทางแปลก ๆ เคี้ยวหรือกลืนอะไรบางอย่าง

ทั้งนี้ บางครั้งอาการชักแบบเฉพาะส่วนอาจคล้ายกับอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอื่น ๆ เช่น อาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งอาจมีอาการเห็นแสงวูบวาบ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติในการนอนหลับ ซึ่งอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบกะทันหัน หรืออาการของโรคจิต จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้การทดสอบและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อแยกโรคลมชักออกจากโรคอื่น ๆ


อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus)

อาการชักชนิดนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักต่อเนื่องที่ผู้ป่วยไม่สามารถคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว โดยการรักษาในเบื้องต้นสามารถทำได้โดยผู้ที่ผ่านการฝึกการปฐมพยาบาลผู้ป่วยโรคลมชักชนิดต่อเนื่อง

แต่หากไม่เคยได้รับการฝึก ควรโทรแจ้งหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน อาทิ ศูนย์นเรนทร 1669 หรือโรงพบาบาลเพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ โรคลมชักเป็นโรคที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน และการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ผู้ที่มีอาการเข้าข่ายควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดอาการชักครั้งแรก มีอาการชักนานเกิน 5 นาที ชักติดต่อกัน กำลังตั้งครรภ์ มีภาวะเบาหวาน รับประทานยาต้านชักแล้วแต่ยังมีอาการ หรือมีอาการบางอย่างร่วมด้วย เช่น มีไข้ ยังไม่ได้สติหลังเกิดอาการชัก หรืออาการหายใจผิดปกติไม่หายไปหลังชัก


สาเหตุของโรคลมชัก

สาเหตุของโรคลมชักนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุ ส่วนในกลุ่มที่สามารถระบุสาเหตุได้ก็มักพบว่าเกิดจากการที่สมองถูกกระทบกระเทือน เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยเซลล์ประสาท กระแสไฟฟ้า และสารเคมีที่ถูกเรียกว่าสารสื่อประสาท เมื่อได้รับการกระทบกระเทือนจึงอาจส่งผลให้สมองเกิดความเสียหายและทำงานผิดปกติจนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการชัก

โดยโรคลมชักสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

    กลุ่มอาการที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้แน่ชัด (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่สามารถหาสาเหตุของโรคลมชักที่แน่ชัดได้ แต่อาจมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคลมชัก มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือมีความผิดปกติของยีนในร่างกาย
    กลุ่มที่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary Epilepsy) ซึ่งเป็นกลุ่มที่หาสาเหตุของโรคลมชักได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคสมองพิการ เนื้องอกในสมอง อุบัติเหตุที่ศีรษะ ยาเสพติด พิษสุราเรื้อรัง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ขาดออกซิเจนขณะคลอด หรือสมองพัฒนาไม่สมบูรณ์ โดยชนิดนี้มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กได้เช่นกัน

ทั้งนี้ อาการจากโรคลมชักสามารถเกิดโดยมีตัวกระตุ้นหรือไม่มีตัวกระตุ้นก็ได้ โดยตัวกระตุ้นที่มักพบ เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาบางชนิด การใช้ยาเสพติด ภาวะมีประจำเดือน หรือในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการเมื่อเห็นแสงแฟลชที่สว่างจ้า แต่เป็นกรณีที่พบได้น้อย

โรคลมชัก เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคลมชักสูง โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้คนทั่วไปเป็นโรคลมชักนั้น ได้แก่

    อายุ โรคลมชักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุแต่ก็มักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กตอนต้น และช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป
    ประวัติครอบครัว หากในครอบครัวมีประวัติว่ามีผู้ป่วยโรคลมชัก ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคลมชักในครอบครัวก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
    อาการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง เป็นสาเหตุที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคลมชัก
    โรคหลอดเลือดสมอง ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากหลอดเลือดสมองจนทำให้สมองถูกทำลายสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคลมชักได้
    โรคสมองเสื่อม (Dementia) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองโดยตรง ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ โรคนี้สามารถทำให้ความเสี่ยงโรคลมชักเพิ่มขึ้นได้
    การติดเชื้อที่สมอง (Brain Infections) เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบที่สมองหรือไขสันหลัง ทำให้สมองและระบบทำงานของประสาทผิดปกติจนเกิดโรคลมชัก
    โรคพยาธิตืดหมู (Cysticercosis) โดยโรคนี้มีสาเหตุมาจากพยาธิที่อยู่ในอาหารที่ปนเปื้อนและไม่ผ่านการปรุงสุก
    อาการชักในวัยเด็ก โดยส่วนใหญ่ อาการชักที่เกิดขึ้นไม่นานมักไม่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมา แต่ก็มีบางกรณีเช่นกันที่อาจส่งผลให้เด็กเสี่ยงเกิดโรคลมชักได้


การวินิจฉัยโรคลมชัก

การวินิจฉัยโรคลมชักเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากไม่ทราบสาเหตุก็จะไม่สามารถรักษาได้ หรือการรักษาอาจได้ผลไม่เต็มที่ ซึ่งการวินิจฉัยโรคลมชักนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะบางอาการของโรคลมชักก็ใกล้เคียงกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคไมเกรน ภาวะตื่นตระหนก การวินิจฉัยจึงต้องใช้เวลาในการตรวจและทดสอบจึงจะทราบผลที่แน่ชัด

อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าเกิดอาการชักขึ้น ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะทำการซักถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการชักจากตัวผู้ป่วยเองถึงสิ่งที่สามารถจดจำได้ในขณะที่เกิดอาการ หรืออาการที่รู้สึก รวมทั้งสัญญาณเตือนต่าง ๆ และอาจยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นหากได้สอบถามกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดซึ่งอยู่กับผู้ป่วยในช่วงที่อาการกำเริบ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยจดจำอะไรไม่ได้เลย

นอกจากนี้ แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับประวัติการรักษาและประวัติส่วนตัวต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ประวัติการใช้ยา ประวัติการใช้เสพยาเสพติด หรือพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ จากนั้นแพทย์จะนำข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยและคนใกล้ชิดไปพิจารณาควบคู่กับการทดสอบทางการแพทย์ เช่น

    การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram: EEG) เพื่อตรวจการทำงานที่ผิดปกติของสมองผ่านขั้วไฟฟ้าที่ติดอยู่กับหนังศีรษะ โดยในขณะทำการทดสอบ อาจมีการให้มองเข้าไปในแสงแฟลช และหายใจลึก ๆ แล้วหลับตา และในบางรายอาจมีการตรวจเช็กคลื่นสมองในขณะหลับ โดยใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กบันทึกการทำงานของสมองตลอด 24 ชั่วโมงแล้วจึงนำมาวิเคราะห์อีกครั้ง
    การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography: CT Scan) เป็นการเอกซเรย์ที่ช่วยให้เห็นภาพตัดขวางของสมอง ซึ่งอาจทำให้แพทย์สามารถเห็นภาพความผิดปกติของสมองที่อาจเป็นสาเหตุของอาการชักได้
    การเอกซเรย์เอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI) เป็นการตรวจที่ใช้คลื่นแม่เหล็กและคลื่นวิทยุสร้างภาพร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งเป็นประโยชน์ในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดโรคลมชักจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ความบกพร่องของสมอง หรือเนื้องอกสมอง
    การตรวจเลือดและการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจหาสัญญาณของการติดเชื้อในสมอง

แม้การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีทางการแพทย์จะทำให้การระบุโรคลมชักเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทว่าก็มีบางรายที่ผลทดสอบไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผู้ป่วยจะไม่เป็นโรคลมชัก จึงอาจต้องมีการตรวจซ้ำและติดตามผลอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้ผลที่แน่ชัด


การรักษาโรคลมชัก

การรักษาโรคลมชักนั้นจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย บางกรณีสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีหลายรายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ทำได้เพียงยับยั้งไม่ให้เกิดอาการชักด้วยการรับประทานยาควบคุมอาการ โดยวิธีการรักษาโรคลมชักที่แพทย์มักใช้มีดังนี้


การใช้ยา

ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการรักษาโดยการใช้ยาต้านอาการชัก (Anti–epileptic Drugs: AEDs) ทว่ายาต้านอาการชักนั้นไม่สามารถรักษาโรคลมชักให้หายขาดได้ ทำได้เพียงควบคุมอาการชักเท่านั้น โดยกลไกหลักของยาต้านอาการชักนั้นก็คือ ตัวยาจะเข้าไปปรับเปลี่ยนปริมาณสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับนำกระแสไฟฟ้าในสมอง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการชัก

โดยการเลือกใช้ยาต้านอาการชักนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น

    ชนิดของอาการชักที่ผู้ป่วยเป็น
    อายุของผู้ป่วย
    การใช้ยาของผู้ป่วย เนื่องจากยาต้านอาการชักอาจส่งผลกับยาชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยใช้อยู่ เช่น ยาคุมกำเนิด

นอกจากนี้ ในกรณีที่วางแผนมีบุตร แพทย์อาจต้องพิจารณาในเรื่องการใช้ยาต้านอาการชักด้วยเช่นกัน โดยยาต้านอาการชักที่มักถูกใช้ในการรักษาโรคลมชัก เช่น ยาโซเดียม วาลโพรเอท (Sodium Valproate) ยาคาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) ยาลาโมทรีจีน (Lamotrigine) ยาลีวีไทราซีแทม (Levetiracetam) ออกซ์คาร์บาซีปีน (Oxcarbazepine) โทพิราเมท (Topiramate)

ทั้งนี้ แม้ว่าการใช้ยาต้านอาการชักจะช่วยควบคุมโรคได้ แต่ผู้ป่วยก็อาจเกิดผลข้างเคียงบางอย่าง ขึ้นอยู่กับชนิดของยา โดยในการรักษา แพทย์จะเริ่มให้ยาในปริมาณที่ต่ำสุดก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปจนกว่าปริมาณยาจะสามารถควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่อาจพบได้ เช่น อาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ น้ำหนักขึ้น มวลกระดูกลดลง ผื่นขึ้น เสียการทรงตัว เหงือกบวม หรือมีปัญหาเรื่องการพูด ความจำ และความคิด

นอกจากนี้ อาจมีผลข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ภาวะซึมเศร้า รู้สึกอยากตาย ผื่นขึ้นอย่างรุนแรง และหากได้รับยาในปริมาณที่สูงมากเกินไป อาจส่งผลให้ผู้ป่วยทรงตัวไม่อยู่ สมาธิลดลง และอาเจียน โดยหากผู้ป่วยมีผื่นขึ้นตามผิวหนังโดยไม่มีสาเหตุหลังจากใช้ยาต้านอาการชัก ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการแพ้ที่เกิดจากยาต้านอาการชัก

นอกจากนี้ เพื่อให้การรักษาด้วยยาสัมฤทธิ์ผล ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยควรปฏิบัติตนดังนี้

    รับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งหากมีการเปลี่ยนแปลงของยาที่ใช้ หรือต้องใช้ยาชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปหรือสมุนไพร
    ห้ามหยุดยาด้วยตนเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
    แจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการซึมเศร้าหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ
    ปรึกษาแพทย์หากผู้ป่วยมีอาการไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งแพทย์อาจมีการพิจารณาให้ใช้ยาต้านอาการชักที่สามารถป้องกันโรคไมเกรนไปได้พร้อม ๆ กัน

หากการใช้ยาต้านอาการชักไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะให้ใช้การรักษาอื่น ๆ อย่างเช่น การควบคุมอาหารแบบคีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet) ที่เป็นการควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีไขมันสูงและคาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนต่ำ เนื่องจากการรับประทานอาหารสูตรนี้มีความเชื่อว่าอาจช่วยลดแนวโน้มการเกิดอาการชักได้

อย่างไรก็ตาม แพทย์จะไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ และโดยส่วนใหญ่แล้ว การควบคุมอาหารวิธีนี้จะใช้กับเด็กที่ควบคุมอาการชักได้ยากและการใช้ยาไม่ได้ผล รวมถึงต้องได้รับการดูแลโดยโภชนากรและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น


การผ่าตัดสมอง

ในกรณีที่การใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำเอาสมองส่วนที่เป็นสาเหตุของโรคลมชักออก

โดยก่อนที่จะได้รับการผ่าตัด จะต้องมีการตรวจวินิจฉัยว่าโรคลมชักเกิดขึ้นจากจุดใด และต้องมีการทดสอบความจำและการทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อให้ทราบว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มในการรับมือกับความเครียดจากการผ่าตัดอย่างไร และเพื่อให้รู้ว่าการผ่าตัดจะส่งผลกระทบกับผู้ป่วยอย่างไรบ้าง

การรักษาด้วยวิธีนี้จะถูกแนะนำให้ผู้ป่วยก็ต่อเมื่อสาเหตุของโรคลมชักเกิดจากส่วนใดส่วนหนึ่งในสมองที่แน่ชัด หรือการผ่าตัดนำส่วนของสมองนั้นออกแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของสมองโดยรวม

นอกจากการผ่าตัดเพื่อนำสมองส่วนที่เกิดปัญหาออกแล้ว ก็ยังมีวิธีการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคลมชักดังนี้

    การกระตุ้นเส้นประสาทสมอง (Vagus Nerve Stimulation: VNS) เป็นการผ่าตัดฝังอุปกรณ์ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณกระดูกไหปลาร้า เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve) และช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการชักลดลงได้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยยังต้องใช้ยาต้านอาการชักร่วมด้วย และอาจพบอาการข้างเคียง เช่น เสียงแหบ เจ็บคอ หรือไอขณะที่อุปกรณ์ทำงาน
    การกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation: DBS) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไว้ที่บริเวณสมองเพื่อลดการทำงานที่ผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกี่ยวข้องกับอาการชัก โดยอุปกรณ์นี้สามารถลดความถี่ของอาการชักได้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมอง เกิดภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาเกี่ยวกับความจำ

ทั้งนี้ การผ่าตัดนั้นก็มีความเสี่ยงไม่น้อย โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด เช่น ปัญหาเกี่ยวกับความจำ หรือโรคหลอดเลือดสมองหลังผ่าตัด ดังนั้นก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะแจ้งประโยชน์และความเสี่ยงของการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดนั้นผู้ป่วยจะฟื้นตัวในเวลาไม่กี่วัน และใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมาสุขภาพดีเต็มร้อยจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ


ภาวะแทรกซ้อนของโรคลมชัก

โรคลมชักหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อทั้งสุขภาพ และอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น

    เกิดภาวะสมองถูกทำลายอย่างถาวร เช่น โรคหลอดเลือดสมอง
    ความบกพร่องในการเรียนรู้ (Learning Disabilities) ในผู้ป่วยที่เป็นเด็ก
    เกิดภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia) ในขณะที่เกิดอาการชัก
    อาการบาดเจ็บของสมองที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากศีรษะถูกกระทบกระเทือนซ้ำขณะที่เกิดอาการชัก
    อุบัติเหตุที่เกิดจากอาการชัก เช่น หกล้ม ลื่นล้ม บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
    จมน้ำ จากการเกิดอาการชักขณะอยู่ในน้ำ

นอกจากนี้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคลมชักอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตด้วย เพราะผู้ป่วยโรคลมชักมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และในรายที่อาการรุนแรงอาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย ซึ่งปัญหาสุขภาพจิตนั้นเกิดจากปัญหาในการรับมือกับอาการชักและผลข้างเคียงจากการใช้ยา

สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์ หากเป็นโรคลมชักจะเป็นอันตรายต่อทั้งตัวผู้ป่วยและทารกในครรภ์ และยาต้านอาการชักก็ส่งผลกระทบต่อเด็กทารกได้เช่นกัน ดังนั้น หากผู้ป่วยเพศหญิงต้องการตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากได้รับการดูแลที่เหมาะสมก็จะสามารถตั้งครรภ์ได้โดยที่อาการชักไม่ส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์


การป้องกันโรคลมชัก

ในเบื้องต้น อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้


ป้องกันการบาดเจ็บที่สมอง

อาการบาดเจ็บที่สมองคือสาเหตุของโรคลมชักที่มักพบได้บ่อย ดังนั้น ควรป้องกันศีรษะจากการถูกกระทบกระเทือนด้วยวิธีดังนี้

    ขับขี่อย่างปลอดภัย ใช้อุปกรณ์ป้องกัน คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกกันน็อก หากผู้โดยสารเป็นเด็กเล็กควรจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อความปลอดภัย
    เดินอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการหกล้ม โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงที่จะพลัดตกหรือหกล้มได้ง่าย จึงควรมีคนคอยดูแลอยู่เสมอ

ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจนเกิดการบาดเจ็บที่สมอง ควรหมั่นดูแลรักษาตัวเองให้มากขึ้นกว่าปกติ เพื่ือหลีกเลี่ยงการเกิดโรคลมชักที่อาจเกิดขึ้นได้หากการดูแลรักษาไม่ดีพอ


ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

กลุ่มโรคนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของโรคลมชักในผู้สูงอายุ ดังนั้น การป้องกันโรคลมชัก รวมทั้งโรคหัวใจและหลอดเลือดคือการดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้


ล้างมือให้สะอาดและรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ

เนื่องจากโรคพยาธิตืดหมู ซึ่งมีสาเหตุมาจากพยาธิที่อยู่ในอาหารที่ปนเปื้อนและไม่ผ่านการปรุงสุก คือหนึ่งในสาเหตุของโรคลมชักที่สามารถพบได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก และหมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหารเข้าปากก็อาจช่วยป้องกันโรคพยาธิตัวตืดหมูอันก่อให้เกิดโรคลมชักได้


ดูแลสุขภาพในขณะตั้งครรภ์

ปัญหาสุขภาพในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์และในช่วงการทำคลอดเป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกที่เกิดมาเป็นโรคลมชักได้ ดังนั้นมารดาจึงควรดูแลสุขภาพและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามดูแลสุขภาพทั้งแม่และเด็ก จะช่วยให้ความเสี่ยงโรคลมชักของทารกลดลง

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคลมชัก อาจลดความเสี่ยงต่อการกำเริบของอาการได้ด้วยวิธีเหล่านี้

    รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ผู้ป่วยโรคลมชักไม่ควรเปลี่ยนปริมาณยาด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์หากรู้สึกว่าการรับประทานยาไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
    นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นอาการชักได้ ดังนั้นควรนอนหลับให้ได้วันละ 6–8 ชั่วโมง
    สวมป้ายข้อมือทางการแพทย์ การสวมใส่ป้ายข้อมือที่ระบุว่าเป็นโรคลมชัก สามารถช่วยให้คนรอบข้างช่วยผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีเมื่ออาการกำเริบ และควรระมัดระวังในการทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การขับรถหรือการทำงานกับเครื่องจักร
    ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการภาวะซึมเศร้าได้ แต่ก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และควรหยุดพักหากรู้สึกเหนื่อย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรระมัดระวังในการเล่นกีฬาบางอย่าง เช่น การว่ายน้ำ


การปฏิบัติตนเมื่อพบผู้ป่วยเกิดอาการชัก

ไม่เพียงแต่ตัวผู้ป่วยเท่านั้นที่จะต้องรับมือกับผู้ป่วยที่มีอาการชัก ผู้คนรอบข้างที่ทำงานหรืออาศัยร่วมกับผู้ป่วยโรคลมชักควรต้องรู้วิธีการรับมือกับอาการชักของผู้ป่วยที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน วิธีการปฏิบัติตนของคนรอบข้างเมื่อพบผู้ป่วยเกิดอาการชักมีดังนี้

    ค่อย ๆ พลิกตัวผู้ป่วยไปด้านใดด้านหนึ่ง
    หาวัสดุนิ่ม ๆ เช่น หมอน หรือผ้าหนา ๆ รองไว้ใต้ศีรษะผู้ป่วย
    ปลดเครื่องประดับที่คอ หรือปลดกระดุมเสื้อที่บริเวณคอผู้ป่วยออกเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
    ห้ามนำนิ้วมือหรือสิ่งของเข้าไปในปาก เพราะอาจตกลงไปในคอจนทำให้หายใจไม่ออก อีกทั้งความเชื่อที่ว่าคนที่เกิดอาการชักจะกัดลิ้นตัวเองนั้นไม่เป็นความจริง
    อย่าพยายามมัดตัวเพื่อหยุดอาการชักของผู้ป่วย
    ห้ามให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารใด ๆ ขณะเกิดอาการชัก
    หากผู้ป่วยที่มีอาการชักกำเริบมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ควรนำสิ่งของที่อาจเป็นอันตรายไปให้ห่างตัว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจคาดไม่ถึง
    อยู่กับผู้ป่วยจนกว่าบุคลากรทางการแพทย์จะเดินทางมาถึง
    สังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะสามารถแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับอาการชักเมื่อการช่วยเหลือมาถึงได้อย่างถูกต้อง
    จับเวลาที่เกิดอาการชัก
    ตั้งสติให้มั่นขณะที่อยู่กับผู้ป่วย ไม่ควรวิตกกังวล หรือตื่นตระหนกจนเกินไป


 


























































กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ทำ SEO ติด Google
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ

ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย

โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า